เมนู

คำว่า ผู้ไม่มีปรีชา ถูกกิเลสมีมานะเป็นต้นครอบงำแล้ว ถึงจะเข้าสมาธิอยู่
นั่นแล ชื่อว่าย่อมไม่ถึงสมาธิ ฉันใด ผู้มีปรีชาทั้งหลาย หาเป็นฉันนั้นไม่
ก็ผู้มีปรีชาเหล่านั้นเป็นเช่นกับเรา ไม่ถูกกิเลสมีมานะเป็นต้นครอบงำแล้ว
ย่อมได้บรรลุสมาธิโดยถ่ายเดียว ดังนี้ พึงทราบว่าเป็นคำพยากรณ์พระอรหัตผล
(ของพระเถระ) โดยมุขที่แปลกออกไป.
จบอรรถกถาเสตุจฉเถรคาถา

3. พันธุรเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระพันธุรเถระ


[240] ได้ยินว่า พระพันธุรเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราไม่มีความต้องการด้วยลาภ คือ อามิสนั้น มี
ความสุขพอแล้ว เป็นผู้อิ่มเอิบแล้ว ด้วยรสแห่งธรรม
ครั้นได้ดื่มรสอันล้ำเลิศเช่นนี้แล้ว จะไม่กระทำความ
สนิทสนมด้วยรสอื่น อีก.

อรรถกถาพันธุรเถรคาถา


คาถาของท่านพระพันธุรเถระ เริ่มต้นว่า นาหํ เอเตน อตถิโก.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ เป็นผู้คุ้มครองในพระราชวัง ของพระราชาพระองค์หนึ่ง ในกาล
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ ในวันหนึ่ง เห็นพระผู้มี

พระภาคเจ้า พร้อมด้วยบริษัทเสด็จผ่านสนามหน้าพระราชวัง มีจิตเลื่อมใส
เก็บดอกชบาไปบูชา พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้นำของโลก พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาไปบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไป ๆ มา ๆ
อยู่แต่ในสุคติภพเท่านั้น เกิดเป็นบุตรแห่งเศรษฐี ในสีลวดีนคร ในพุทธุป-
บาทกาลนี้ ได้มีนามว่า พันธุระ. เขาถึงความเป็นผู้รู้แล้ว ไปในกรุงสาวัตถี
ด้วยกรณียกิจบางอย่าง แล้วไปสู่พระวิหาร พร้อมด้วยอุบาสกทั้งหลาย ฟัง
พระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว ได้เป็นผู้มีศรัทธาจิต บวชแล้ว เริ่มตั้ง
วิปัสสนา แล้วบรรลุพระอรหัต ต่อกาลไม่นานนัก เพราะเป็นผู้มีญาณแก่กล้า
แล้ว. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ
เชษฐบุรุษของโลก เสด็จดำเนินไปสู่พระนคร เราเป็น
พระสาวกทั้งหลาย เสด็จดำเนินไปสู่พระนคร เราเป็น
ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้คุ้มครอง ในภายในพระราช-
วัง เราเข้าไปในปราสาท ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้นำของโลก จึงถือเอาดอกชบา ไปโปรยลงในภิกษุสงฆ์
แยกพระพุทธเจ้าไว้แผนหนึ่ง โปรยดอกชบาลงบูชา
ยิ่งกว่านั้น ในกัปที่ 94 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้บูชา
พระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้
จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัปที่ 87 แต่
ภัทรกัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มีนามว่า
มหิทธิกะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว 7 ประการ มีพลมาก.
เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของพระ-
พุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.

ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว ตั้งอยู่ในความเป็นผู้มีกตัญญู
ไปสู่พระนครสีลวดี เพื่อสนองพระคุณพระราชา ผู้มีอุปการะแก่ตน เมื่อจะ
แสดงธรรมแก่พระราชา ประกาศสัจจะทั้งหลายแล้ว. ในเวลาจบสัจจะ พระ
ราชาเป็นพระโสดาบัน ให้สร้างวิหารใหญ่ ชื่อว่า สุทัสสนะ ในพระนคร
ของพระองค์ มอบถวายแก่พระเถระ. พระเถระ ได้เป็นผู้มีลาภสักการะอย่าง
ใหญ่หลวง.
พระเถระมอบวิหาร และลาภสักการะทั้งหมด แก่สงฆ์ (ส่วน) ตน
เอง เทียวบิณฑบาตยังอัตภาพให้เป็นไป โดยทำนองก่อนนั่นแล พักอยู่ใน
สีลวดีนครนั้น สิ้นวันเล็กน้อย ได้เป็นผู้มีความประสงค์จะไปสู่พระนครสาวัตถี.
ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงอยู่ในที่นี้แหละ
ถ้าบกพร่องด้วยปัจจัยทั้งหลาย พวกข้าพเจ้าจักยังปัจจัยนั้นให้บริบูรณ์. พระ
เถระเมื่อจะแสดงความว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย เราไม่มีความต้องการด้วย
ปัจจัยอันโอฬาร เรายังอัตภาพให้เป็นไปด้วยปัจจัยตามมีตามได้ เราเป็นผู้มี
ความพอใจด้วยรสพระธรรมอย่างเดียวเท่านั้น ดังนี้แล้ว ได้กล่าวคาถาว่า
เราไม่มีความต้องการด้วยลาภ คืออามิสนั้น มี
ความสุขพอแล้ว อิ่มเอิบแล้วด้วยรสพระธรรม ครั้น
ได้ดื่มรสอันล้ำเลิศเช่นนี้แล้ว จะไม่กระทำความสนิท
สนมด้วยรสอื่นอีก
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาหํ เอเตน อตฺถิโต ความว่า
ท่านทั้งหลายมีความประสงค์จะให้เราอิ่มหนำ ยินดีด้วยอามิสใด จึงกล่าวว่า
พวกข้าพเจ้า จักทำปัจจัยให้บริบูรณ์ เราไม่มีความต้องการด้วยลาภคืออามิสนี้
อันมีอามิสคือปัจจัยเป็นรส เราคำนึงอยู่ว่า เราไม่มีความต้องการด้วยลาภคือ
อามิสนี้ (เพราะ) ความสันโดษเป็นสุขอย่างยิ่ง ดังนี้ จึงยังอัตภาพให้เป็นไป

ด้วยปัจจัยตามมีตามได้. บัดนี้พระเถระเมื่อจะประกาศเหตุอันเป็นหลัก ใน
ความไม่ต้องการ ด้วยลาภคืออามิสนั้น จึงกล่าวว่า เรามีความสุขพอเพียงแล้ว
อิ่มเอิบแล้วด้วยรสพระธรรม ดังนี้. อธิบายว่า เราอิ่มเอิบแล้ว คือยินดีแล้ว
คือถึงความสุข ได้แก่ มีความพอใจโดยมีสุข ด้วยรสแห่งโพธิปักขิยธรรม
37 ประการ และด้วยรสแห่งโลกุตรธรรม 9.
บทว่า ปิตฺวา รสคฺคมุตฺตมํ ความว่า ดื่มรสแห่งพระธรรมอันสูงสุด
ตามที่ท่านกล่าวไว้ว่า เลิศ คือประเสริฐที่สุดในรสทั้งปวงเท่านั้นดำรงอยู่แล้ว.
สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า รสแห่งพระธรรมย่อมชนะรสทั้งปวง
ดังนี้. บทว่า น จ กาหามิ วิเสน สนฺถวํ ความว่า การดื่มรสพระ
ธรรม อันเป็นรสล้ำเลิศเห็นปานนี้ ตั้งอยู่แล้วจักไม่ทำความสนิทสนม คือ
การคลุกคลีด้วยรสอื่น คือรสอันเป็นพิษ เช่นกับยาพิษ อธิบายว่า ไม่มีเหตุ
ให้ต้องกระทำอย่างนั้น.
จบอรรถกถาพันธุรเถรคาถา

4. ขิตกเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระขิตกเถระ


[241] ได้ยินว่า พระขิตกเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
กายของเราเป็นกายเบาหนอ อันปีติและสุขอย่าง
ไพบูลย์ถูกต้องแล้ว ย่อมเลื่อนลอยได้เหมือนนุ่น ที่
ถูกลมพัดไป ฉะนั้น.